วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ต้องไปเยือน


1. พระราชวังอิมพีเรียล
 

พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ

 2. โตเกียว ทาวเวอร์ 
 

โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย

3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
 

ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

 4. ภูเขาฟูจิ
 

ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน







5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ
 

เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม

6. โอซาก้า
 

เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ

7. ปราสาทฮิเมะจิ
 

ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน

8. วัดโทไดจิ
 

วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)

9. ฮอกไกโด
 

ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้
เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส

10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ
 

เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น